วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

10 อันดับเมืองน่าเรียนที่สุดในโลก 2015

สำนักจัดอันดับแถวหน้าของโลกอย่าง Quacquarelli Symonds หรือ QS จากปประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกในปี 2014/2015 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ล่าสุดระเทศอังกฤษ ได้ได้ประกาศอันดับเมืองน่าอยู่สำหรับนักศึกษา (QS Best Student Cities 2015) และจากผลการสำรวจในปี 2015 นี้ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วหลายอันดับด้วยกัน   ซึ่งในปีนี้ได้มีการเพิ่มตัวชี้วัดในการประเมินจากปีที่แล้วมาเป็น 18 ตัวชี้วัด จาก 5 หัวข้อหลัก ดังนี้
       
        1.การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก 100 คะแนน
        2.ความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา 100 คะแนน
        3.คุณภาพชีวิต 100 คะแนน
        4.โอกาสการจ้างงาน 100 คะแนน
        5.ความสามารถในการจ่าย 100 คะแนน
  และนี้คือ 10 อันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับนักศึกษา ประจำปี 2015 (QS Best Student Cities 2015)

อันดับ 10 : โซล (Seoul) : ประเทศเกาหลี 
 เมืองหลวงและมหานครที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเกาหลีใต้ ในปีนี้สามารถทำคะแนนสูงจนสามารถติดอันดับท็อปเทนเมืองที่ดีที่สุดสำหรับนักศึกษาในปีแรก นอกจากจะเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวของประเทศแล้ว มหานครแห่งนี้ยังมีมาตรฐานเรื่องการศึกษาที่ค่อนข้างสูง จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก 2014/15 มหาวิทยาลัยในกรุงโซลติดอันดับทั้งหมด 14 แห่งด้วยกัน และมหาวิทยาลัยที่มีอันดับสูงสุด คือ “มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (Seoul National University) อยู่ในอันดับที่ 31 ร่วมกับมหาวิทยาลัยโตเกียวของประเทศญี่ปุ่น
       
        สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของกรุงโซลในการจัดอันดับเมืองสำหรับนักศึกษาในครั้งนี้ จะเป็นหัวข้อโอกาสในการจ้างงาน ได้ไปถึง 94 คะแนน ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยในกรุงโซลส่วนใหญ่จะได้รับการไว้วางใจจากหน่วยงานและนายจ้างเป็นจำนวนมาก รองลงมาจะเป็นเรื่องอันดับของมหาวิทยาลัย และความหลายหลายทางด้านเชื้อชาติของนักศึกษาที่อยู่ในกรุงโซลนั่นเอง 

อันดับ 9 : โทรอนโต (Toronto) : ประเทศแคนาดา 
 ในปีนี้ประเทศแคนาดาถือว่าเป็นประเทศที่มาแรงใช่เล่นเพราะนอกจากมอนทรีออลที่ติดอันดับแล้ว ยังมี “โทรอนโต” ติดเข้ามาอยู่ในอันดับ 9 เมืองที่ดีที่สุดสำหรับนักศึกษาในปี 2015 อีกด้วย คะแนนเต็มในหัวข้อของคุณภาพชีวิต เรียกได้ว่าสูงกว่ามอนทรีออล และเมืองในประเทศอื่นๆ อีกหลายเมืองเลยทีเดียว และแม้ว่าจะมีอันดับตามหลังมอนทรีออลอยู่ แต่มหาวิทยาลัยโทรอนโต (University of Toronto) กลับติดอยู่ในอันดับโลกที่สูงกว่าคืออันดับที่ 20 ส่วนคะแนนในด้านอื่นๆ ก็ใกล้เคียงกัน แต่โทรอนโตมีค่าครองชีพที่สูงกว่าในมอนทรีออล จึงได้คะแนนค่อนข้างน้อย
       
        โทรอนโตเป็นเมืองที่มีประชากรจากหลากหลายเชื้อชาติมาอยู่รวมกันมากที่สุดในโลก 40% ของประชากรเป็นคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา ประชาชนที่เมืองนี้มีความเป็นมิตร และมีชื่อเสียงติดอันดับโลกเมืองที่ความปลอดภัยที่สุด และสะอาดที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ จึงไม่น่าแปลกใจที่เมืองโทรอนโตจะมีคะแนนในเรื่องของคุณภาพชีวิต 100 คะแนนเต็มนั่นเอง
อันดับ 8 : มอนทรีออล (Montréal) : ประเทศแคนาดา
 ถ้าให้จัดอันดับประเทศที่น่าอยู่และมีคุณภาพชีวิตสูงที่สุดในโลกคงต้องมีประเทศแคนาดาติดอยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน และเมืองน่าอยู่สำหรับนักศึกษาในปี 2015 นี้ ประเทศแคนาดาติดอันดับด้วยกันถึง 2 เมืองคือ มอนทรีออล และ โทรอนโต อยู่ในอันดับ 8 และ 9 ถือว่าเข้าวินมาอย่างสวยงามไม่ผิดคาดแต่อย่างใด เมืองสวย บรรยากาศดี การศึกษาเยี่ยม มีคะแนนโดดเด่นในเรื่องของความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษาต่างชาติสูงถึง 96 คะแนน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง ประชากรสามารถพูดได้หลายภาษา มอนทรีออลยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ที่มีประชากรพูดภาษาฝรั่งเศสมากที่สุดในโลก รองจากปารีส
       
        คะแนนในส่วนของคุณภาพชีวิตเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่มอนทรีออลได้คะแนนค่อนข้างสูงคือ 83 คะแนน เมืองสวยสะอาดความปลอดภัยสูง ที่เหมาะกับการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้เมืองมอนทรีออลยังมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกด้วยกัน 3 แห่งด้วยกัน และมหาวิทยาลัยที่ได้อันดับสูงสุดคือ “McGill Universit” ติดอยู่ในอันดับที่ 21 ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย

อันดับ 7 : โตเกียว (Tokyo) : ประเทศญี่ปุ่น 
 ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในปี 2015 ของท๊อปเทนมือใหม่อย่าง “โตเกียว” ประเทศญี่ปุ่น ที่ขึ้นมาด้วยอันดับที่ค่อนข้างสูง เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นที่คนไทยส่วนใหญ่จะเลือกไปเรียนต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรียภาษา หรือหลักสูตรระดับปริญญา จึงไม่น่าแปลกที่โตเกียวจะกลายเป็น 1 ในเมืองแห่งการศึกษาที่สำคัญของโลก ซึ่งผลจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก “มหาวิทยาลัยโตเกียว (The University of Tokyo)" ที่ติดอยู่ในอันดับที่ 31 และเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 2 ของเอเชีย ประจำปี 2014/2015
       
        โดยกรุงโตเกียวได้คะแนนคุณภาพชีวิตไปถึง 95 คะแนน และโอกาสในการจ้างงาน 94 คะแนน ถือเป็นสองหัวข้อดัชนีชี้วัดที่ทำให้โตเกียวมีคะแนนค่อนข้างดีมากในปีนี้ จนสามารถติดอันดับท็อปเทนได้ในที่สุด แต่ยังมีในส่วนของความหลากหลายของนักศึกษาจากต่างชาติที่โตเกียวได้คะแนนที่น้อยมากเรียกได้ว่าน้อยที่สุดใน 10 อันดับ คือ 55 คะแนน นั่นเอง

อันดับ 6 : บอสตัน (Boston) : ประเทศสหรัฐอเมริกา 
 มหานครที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Massachusetts Institute of Technology (MIT) อันดับ 1 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2014/2015 และ Harvard University มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของอเมริกา อยู่ในอันดับที่ 4 จนได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่สำคัญแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ใครที่ชื่นชอบความเก่าแก่ของประวัติศาสตร์คงได้ยินชื่อเสียงของบอสตันเป็นอย่างดี เมืองที่เต็มไปด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน
       
        การที่มีมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกตั้งอยู่ที่เมืองบอสตันมากมายหลายแห่ง ทำให้เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งปัญญาชนอย่างแท้จริง ทำคะแนนสูงสุดในหัวข้อโอกาศการจ้างงานเต็ม 100 คะแนน เนื่องจากเหล่าบรรดานายจ้างต่างมั่นใจในมาตรฐานของนักศึกษาที่จบจากบอสตัน และต้องการตัวเป็นอย่างมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่บอสตันจะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับนักศึกษาที่คิดจะไปเรียนภาษา หรือไปศึกษาต่อ ทำให้ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งในเมืองบอสตันเป็นนักเรียนนักศึกษานั่นเอง
       
   อันดับ 5 : ฮ่องกง (Hong Kong) : เขตการปกครองพิเศษฮ่องกง 
 เมืองที่ดีที่สุดสำหรับนักศึกษาอันดับที่ 5 และเป็นเมืองอันดับหนึ่งของทวีปเอเชีย ที่ในครั้งนี้ทำอันดับสูงขึ้นจากปีที่แล้วคือ อันดับที่ 7 แซงหน้า “สิงคโปร์” แชมป์เก่าของเอเชียที่ในปี 2015 หลุดโผไม่ติด 1 ใน 10 ของโลก แม้ว่า “ฮ่องกง” จะเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก แต่กลับมีคะแนนในด้านค่าครองชีพถือว่าค่อนข้างถูกมากเมื่อเทียบกับเมืองต่างๆ และยังมีความโดดเด่นในเรื่องของความปลอดภัยทุกคนเคารพกฎหมายและเป็นเมืองที่มีการคอรัปชั่นน้อยที่สุดเมืองหนึ่ง
       
        ฮ่องกงเมืองแห่งเอเชีย หรือ Asia’s World City เมืองที่มีลักษณะเด่นของความเป็นเมืองนานาชาติที่ราวกับย่อโลกทั้งใบเอาไว้ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้โดยมีความเป็นสากลที่ผสมผสานระหว่างสิ่งที่ดีที่สุดของวัฒนธรรมตะวันตก และตะวันออกได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังมีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและติดอันดับโลกหลายแห่งด้วยกัน เช่น The University of Hong Kong (HKU) ติดอยู่ในอันดับที่ 28 ของโลกปี 2014/2015, City University of Hong Kong, Chinese University of Hong Kong และ The Hong Kong University of Science and Technology เป็นต้น

      อันดับ 4 : ซิดนีย์ (Sydney) : ประเทศออสเตรเลีย 
อีกหนึ่งเมืองของประเทศน่าอยู่อย่างออสเตรเลีย ที่ติดอันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับนักศึกษา ประจำปี 2015 เมืองยอดฮิตที่เหล่านักเรียนนักศึกษานิยมไปเรียนต่อมากที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง “ซิดนีย์ (Sydney)” เมืองแห่งหาดทราย สายลม และแสงแดด ยังคงรักษาอันดับและมาตรฐานจากปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี สามารถทำคะแนนได้ค่อนข้างสูงจากสามหัวข้อการประเมินคือ คุณภาพชีวิตได้ไป 98 คะแนน, ความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา ได้ไป 95 คะแนน และโอกาศการจ้างงาน 94 คะแนน แต่ค่าครองชีพค่อนข้างสูงได้ไปเพียง 36 คะแนน เท่านั้น ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีคนนิยมเรียนต่อมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากอเมริกาและอังกฤษ โดยมีถึงสองเมืองในประเทศที่ติดอยู่ในอันดับโลก คือเมลเบิร์น และซิดนีย์ แม้จะมีค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ยังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่คิดจะเรียนต่อ โดยมีมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง University of Sydney ติดอยู่ในอันดับที่ 37 ของโลก 

อันดับ 3 : ลอนดอน (London) : ประเทศอังกฤษ 
 แชมป์เก่าอันดับที่สองจากปีที่แล้ว ตกมาอยู่ในอันดับที่ 3 เมืองแห่งแฟชั่นและความหรูหรา จากประเทศอังกฤษ โดยมีคะแนนรวมทั้งหมดอยู่ที่ 392 คะแนน ทั้งที่เมืองลอนดอนได้คะแนนเต็ม 100 คะแนนไปถึง 2 หัวข้อด้วยกันนั่นคือ อันดับมหาวิทยาลัยโลก และโอกาสการจ้างงาน โดยมีมหาวิทยาลัย University College London (UCL) ติดอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลก แต่ข้อเสียของลอนดอนจะอยู่ที่ค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูงมากจนทำให้ในหัวข้อนี้เมืองลอนดอนได้ไปเพียง 28 คะแนน จาก 100 คะแนนเต็ม ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่ค่อนข้างต่ำกว่าเมืองทั้งหมดใน 10 อันดับแรกของโลก เป็นที่ทราบกันดีว่าลอนดอนนั้นเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก และยังครอบแชมป์หลายสมัยอีกด้วย แต่ด้วยคุณภาพและมาตรฐานด้านการศึกษาที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก ก็ทำให้เมืองแห่งนี้ยังเป็นเมืองในฝันของนักศึกษาหลายคนอยู่ดี
       
อันดับ 2 : เมลเบิร์น (Melbourne) : ประเทศออสเตรเลีย 
สำหรับอันดับ 2 ในปี 2015 นี้ตกเป็นของ “เมลเบิร์น” เมืองหลวงเก่าของประเทศออสเตรเลีย ที่สามารถไต่อันดับขึ้นมาได้ค่อนข้างสูงจากปีที่แล้ว (2014) ที่ติดอยู่ในอันดับที่ 5 มาเป็นอันดับที่ 2 ด้วยคะแนนสูงสุดจาก 3 หัวข้อใหญ่ๆ คือ ความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา เมลเบิร์นได้ไปถึง 100 คะแนนเต็ม รองลงมาเป็นหัวข้อคุณภาพความเป็นอยู่ และโอกาสการจ้างงาน ได้คะแนนเท่ากันที่ 94 คะแนน และหากมีการจัดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกแล้วหละก็ รับรองว่าจะต้องมีชื่อ “เมลเบิร์น” จากประเทศออสเตรเลียติดอยู่ในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน
       
        เมลเบิร์นขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการศึกษา และเมืองแห่งศิลปะ บรรยากาศดี มีชายหาดและแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนมากมาย ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของเมืองในอันดับที่ 5 สามารถไต่อันดับขึ้นมาเป็นที่ 2 ได้ แม้ว่าจะมีค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แถมในหัวข้อนี้เมลเบิร์นยังได้คะแนนน้อยกว่าปารีสเสียอีก เพราะได้ไปเพียง 40 คะแนน จาก 100 เท่านั้น ทำให้คะแนนรวมของเมลเบิร์นทั้งหมดอยู่ที่ 397 คะแนน
อันดับ 1 : ปารีส (Paris) : ประเทศฝรั่งเศส 
ยังคงเป็นที่หนึ่งครองใจ “มหานครในฝัน” ที่ใครๆ ก็อยากไปเยือน ด้วยบรรยากาศที่สวยงามและสุดแสนโรแมนติก แม้จะขึ้นชื่อว่ามีค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูงอยู่สักหน่อย แต่ค่าเล่าเรียนที่ปารีสกลับไม่สูงอย่างที่คิด โดยในปี 2015 นี้ก็นับเป็นสมัยที่ 3 ของการเป็นเมืองอันดับหนึ่งที่ดีที่สุดสำหรับนักศึกษาที่อยากจะไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ด้วยความพร้อมในหลายๆ ด้าน ทำให้เมืองปารีสมีคะแนนนำมาเป็นอันดับที่ 1
       
       โดยมีคะแนนสูงสุดในหัวข้ออันดับมหาวิทยาลัยโลก มี “École normale supérieure หรือ Normal” สถาบันวิชาชีพชั้นสูงของกรุงปารีส อยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก จาก QS World University Rankings® 2014/15 และโอกาสในการจ้างงาน ทั้งสองหัวข้อได้ไป 96 คะแนน ส่วนคะแนนน้อยที่สุดสำหรับมหานครปารีสคงจะหนีไม่พ้นเรื่องค่าครองชีพ หรือความสามารถทางการเงิน ได้มาเพียง 54 คะแนน รวมแล้วปารีสได้คะแนนไปทั้งหมด 412 คะแนน 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น